Verified answer

ในถั่วเมล็ดแห้ง โดยเฉพาะถั่วแดงหลวง ถั่วเหลือง มีสารต่อต้านคุณค่าทางโภชนาการ (antinutritional factors) การนำถั่วเมล็ดแห้งมาปรุงอาหารนั้นต้องทำถั่วให้สุก เพื่อให้สารต่อต้านดังกล่าวถูกทำลาย เพราะถ้าถูกทำลายไม่หมด สารบางชนิดจะไปจับกับผนังของลำไส้ ทำให้เกิดอาการระคายเคือง ปั่นป่วน เกิดอาการคลื่นไส้ ปวดศีรษะ และอาเจียนได้

"การทำถั่วให้สุก" ต้องเลือกถั่วที่มีสภาพสมบูรณ์และล้างให้สะอาด แล้วนำไปแช่น้ำให้เมล็ดถั่วอุ้มน้ำให้เต็มที่ ซึ่งจะใช้เวลาตั้งแต่ 3-4 ชั่วโมงจนถึงค้างคืน ขึ้นอยู่กับขนาดและความเก่าใหม่ของเมล็ด เทน้ำที่แช่ทิ้งไป และล้างด้วยน้ำสะอาดอีก 1-2 ครั้ง จากนั้นจึงนำมาต้มหรือนึ่งจนสุก ซึ่งการนึ่งจะใช้เวลาน้อยกว่า นมถั่วเหลืองซึ่งสกัดจากถั่วเหลืองดิบก็เช่นเดียวกัน ต้องต้มให้เดือดหรือนึ่งให้สุกอย่างน้อย 20 นาที การทำถั่วให้สุกทำให้ย่อยง่าย อาจมีการสูญเสียสารอาหารบางอย่างไปกับน้ำที่ใช้ต้มแต่ก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น โดยที่ปริมาณโปรตีนซึ่งเป็นสารอาหารหลักของถั่วจะยังคงให้คุณค่าเหมือนเดิม

หลักการบริโภคถั่วเมล็ดแห้งและข้อพึงระวัง

* บริโภคถั่วเมล็ดแห้งร่วมกับอาหารกลุ่มธัญพืช เช่น อาหารคาวที่ทำจากถั่วเหลืองหรือเต้าหู้ ทานร่วมกับข้าว เช่น ข้าวกล้อง อาหารหวาน เช่น ถั่วดำต้มกะทิ รับประทานร่วมไปกับสาคูหรือข้าวเหนียว ดื่มนมถั่วเหลืองที่มีการเติมข้าวฟ่างหรือลูกเดือย สาคู ถั่วแดง ทั้งนี้เพื่อให้ได้โปรตีนที่สมบูรณ์และมีคุณภาพมากขึ้น

* ถั่วลิสง มีไขมันสูงกว่าถั่วชนิดอื่น ผู้ที่มีน้ำหนักเกินมาตรฐาน ไม่ควรรับประทาน ถั่วลิสงมักนำไปทอด ยิ่งทำให้ได้รับพลังงานมากขึ้นไปอีก ปริมาณถั่วลิสงที่ใช้รับประทานเป็นของว่าง แนะนำให้บริโภคแต่ละครั้งไม่ควรเกิน 30 กรัม หรือประมาณ 3 ช้อนกินข้าว มีคนแพ้โปรตีนจากถั่วลิสง เพราะฉะนั้น ถ้าอาหารชนิดใดใส่ถั่วลิสง ต้องแจ้งไว้ให้ผู้บริโภคทราบด้วย ถั่วลิสงมักมีการปนเปื้อนจากเชื้อราที่สร้างสารพิษอะฟลาทอกซิน หลีกเลี่ยงการบริโภคถั่วลิสงบดที่ทิ้งไว้นาน ควรเลือกบริโภคถั่วลิสงที่สะอาด ใหม่ และมีเมล็ดที่สมบูรณ์

* ถั่วปากอ้า ผู้บริโภคที่ไม่มีน้ำย่อย G-6-PD ซึ่งเป็นโรคทางกรรมพันธุ์ ห้ามบริโภคถั่วชนิดนี้เพราะอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

ถั่วมันมีกลิ่นที่เวลาทำเป็นอาหารแล้วเราทำไม่ได้ไม่ค่อยอร่อย

เราชอบทำแบบต้มน้ำตาล พวกถั่วเขียว แดง ดำ หรือ ถ้าขยันก็ทำเป็นเปียกคือใส่แป้งข้าวโพดให้น้ำมันข้นขึ้นแล้วกินกับกะทิสด+เกลือนิดหน่อย ตั้งแต่ลูกเดือย ข้าวบาร์เร่ย์

ถ้าเหลือก็ใส่ในช่องแช่แข็งทำป็นไอศกรีมไว้หลอกหลานๆกิน ค่ะ

ส่วนใหญ่อยู่แผนกทำลายหลักฐานกวาดล้างไม่ให้เหลือ เรื่องปรุงสร้างเป็นของอีกแผนก แต่เอาได้หมด

ถั่วลันเตา ก็เป็นผักอีกชนิดหนึ่งที่ไม่ขม เหมาะกับรสนิยมของหนูน้อยทั้งหลายไม่น้อย หากจะให้เด็กได้ลองลิ้มลองนำมาผัดกับผักหลากชนิด เช่น แครอต บรอกโคลี โต้วเหมี่ยวหรืออื่น ๆ เพื่อให้สีสันสดสวยน่าสนุกและน่ากิน ถูกใจเด็ก ๆ เขาละ คนไหนไม่ชอบผักก็อาจลองเขี่ย ๆ ดูบ้าง จากลองเขี่ยเล่นใจจานอาหารก็ตักเข้าปาก เพราะอยากลองว่าที่เห็นหน้าตาสีสวย ๆ นั้นรสชาติจะเป็นอย่างไร

ถั่วลันเตาทั้งฝักมักกินแบบผัด จะผัดกับเนื้อสัตว์ที่เราชอบ อย่างหมู กุ้ง ไก่ หรือผัดน้ำมันหอยเปล่า ๆ ก็ได้รสดีทั้งนั้น เมล็ดถั่วลันเตาต้มสุกมักนำไปเป็นส่วนผสมของสลัด หรืออาหารฝรั่งมากกว่าจะนำมาทำอาหารแบบไทย

เนื่องจากถั่วลันเตาเป็นพืชตระกูลถั่ว พืชตระกูลนี้เป็นพวกที่ได้รับสัมปทานโปรตีนมาจากธรรมชาติมากหน่อย แต่ใช่มีแค่โปรตีน ยังมีการใยอาหารหรือไฟเบอร์ วิตามินซี แคลเซียมและฟอสฟอรัสในปริมาณสูง แต่ก็นั่นแหละ วิตามินซีมักหายตัวไปหากถูกความร้อน ดังนั้นจึงควรผัดแต่พอสุกก็รับประทานได้แล้ว

กากใยอาหารในถั่วลันเตาช่วยให้ระบบย่อยอาหารเป็นไปตามปกติ รวมไปถึงการขับถ่ายที่สะดวกสบายและเป็นเวล่ำเวลาแม้ว่าถั่วลันเตาจะให้สารอาหารต่าง ๆ และเส้นใยอาหารมากก็จริง แต่หากจะให้ดีควรรับประทานผักที่หลากหลายเพื่อจะได้รับสารอาหารและเกลือแร่ต่าง ๆ อย่างครบถ้วน

ถั่วลันเตาเป็นถั่วฝักแบน สีเขียวอ่อน มีเมล็ดเล็กๆ เรียงอยู่ภายใน มีแคลเซียมและฟอสฟอรัสมาก เหมาะอย่างยิ่งต่อการบำรุงกระดูกฟัน เวลานำมาผัดจะมีรสหวานและกรอบ ควรผัดไฟแรงอย่างรวดเร็ว จะทำให้คุณค่าวิตามินยังคงอยู่ หรือนำไปลวกรับประทานได้อร่อยเช่นกัน นอกจากนี้เราสามารถนำส่วนของยอดต้นถั่วลันเตาพันธุ์รับประทานยอด ซึ่งมีลักษณะอวบและรสชาติหวาน นิยมนำมาผัดน้ำมันไฟแรงอย่างรวดเร็ว หรือต้มจืดกับหมูสับ

ผัดเมล็ดถั่วลันเตากับหอยเชลล์

สิ่งที่ต้องเตรียม

กระเทียมสับละเอียด

น้ำมันคาโนล่าผ่านกรรมวิธี

หอยเชลล์

เมล็ดถั่วลันเตาแช่แข็ง

ซอสหอยนางรม

พริกไทยป่น

น้ำตาลทราย

น้ำมันงา

เหล้าจีน

พริกชี้ฟ้าแดงสำหรับโรยหน้า

1 ช้อนโต๊ะ

3 ช้อนโต๊ะ

150 กรัม

200 กรัม

3 ช้อนโต๊ะ

1/2 ช้อนชา

1/2 ช้อนชา

2 ช้อนชา

2 ช้อนชา

วิธีทำ

- เจียวกระเทียมกับน้ำมันคาโนล่าผ่านกรรมวิธี จนมีกลิ่นหอม ใส่หอยเชลล์ ปรุงรสด้วย

เครื่องปรุงรสทั้งหมด ผัดใช้ไฟแรง จนสุกทั่วดี ตักใส่จาน โรยหน้าด้วยพริกชี้ฟ้าแดง

พร้อมรับประทาน

อื่นๆ

ส่วนครัสต์

แป้งอเนกประสงค์ 1 1/4 ถ้วย

น้ำตาลทราย 2 ช้อนชา

เกลือ 1/2 ช้อนชา

เนยจืดหั่นเป็นก้อนเต๋า แช่เย็น 1/2 ถ้วย

น้ำเย็น 34 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ

ร่อนแป้ง น้ำตาล และเกลือ เข้าด้วยกัน ใช้ pie cutter ตัดเนยและแป้งให้เป็นก้อนเล็กๆ ขนาดเมล็ดถั่ว เติมน้ำเย็นลงไปทีละน้อย จนพอเกาะกันเป็นก้อน ห่อฟิล์มพลาสติกไว้แล้วแช่เย็นประมาณ 2 ชั่วโมง ก่อนนำมาคลึงจนหนา 1/4 นิ้ว กรุลงพิมพ์ที่ต้องการ (แนะนำขนาด 9 นิ้ว) นำเข้าแช่เย็นประมาณ 30 นาที แล้วปูกระดาษไข วาง pie weight แล้วนำเข้าอบในเตาอบที่อุ่นไว้แล้วที่อุณหภูมิ 180 C ประมาณ 30 นาที นำมาพักไว้จนพออุ่น

ส่วนไส้้้้

ไข่ไก่ 3 ฟอง

น้ำตาลทรายแดง 1/2 ถ้วย

น้ำเชื่อมข้าวโพด แบบใส 1/2 ถ้วย

บรั่นดี 2 ช้อนโต๊ะ

เกลือ 1/2 ช้อนชา

ถั่วพีคาน อบที่ 180C ประมาณ 10 นาที พักให้เย็นสนิท 2 ถ้วย

วิธีทำ

ผสมทุกอย่างเข้าด้วยกัน ก่อนเทลงพิมพ์ที่อบจนสุกและพักพออุ่น นำเข้าอบต่ออีกประมาณ 30 นาที นำออกมาพักบนตะแกรงจนเย็นสนิท ก่อนนำออกจากพิมพ์

เม็ลดถั่วแห้งต่างๆ ประกอบอาหารได้เยอะแยะมากมายค่ะ ได้ทั้งอาหารหวาน อาหารคาว แต่ก่อนจะนำมาปรุงอาหาร อันดับแรกต้องน้ำเมล็ดถั่วแห่งมาแช่น้ำ และต้มสุกเสียก่อนนะคะ ประโยชน์ของถั่ว คือมีสารอาหารดีๆ มากมาย และมีกรดไขมันชนิดดีด้วย เป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และไม่ทำให้อ้วน แถมพ่วงมาด้วยประโยชน์ต่อหัวใจ ถั่วช่วยลดคอเรสเตอรอลในเส้นเลือด และลดไขมันด้วย ถั่วมีโอเบก้า 3 ช้วยป้องกันอาการหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน รวมไปถึง สารอาหารดีๆ วิตามินอี และไฟเปอร์

เมล็ดถั่วลันเตา...นำมาเป็นส่วนผสมในการปรุงอาหารได้หลายอย่างค่ะ เช่น ไข่ยัดใส้ ราดหน้า กั๋วยเตี๊ยวหมูสับ หรือซุปถั่วลันเตา

ถั่วเขียว...เป็นแหล่งโปรตีน ถือเป็นโปรตีนชั้นดี ดีกว่าเนื้อสัตว์คือให้พลังงานต่ำ ไม่มีโคเลสเตอรอล ไขมันต่ำ มีใยอาหารสูง นอกจากนี้ยังมีคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน วิตามินบี สังกะสี โปแตสเซี่ยม แมกนีเซี่ยม แคลเซี่ยม และเหล็ก คนจีนยังถือว่ากินถั่วเขียวแก้ร้อนในได้ด้วย เพราะเป็นธาตุเย็น เมนูนี้จึงเหมาะเป็นอาหารเช้าหน้าร้อนได้ดี

ถั่วเขียวต้มสุก 1 ถ้วย

น้ำ 2-3 ถ้วย

นมสดพร่องมันเนย 1/2 ถ้วย

น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ....ต้มถั่วเขียวให้สุกนิ่ม ตักขึ้นมาแต่ถั่วเขียว โดยไม่เอาน้ำที่ต้ม ราดด้วยนมสดพร่องมันเนย และน้ำผึ่ง ทานเป็นอาหารว่าง หรืออาหารเช้าก็ได้ อร่อยเปรี่ยมคุณค่าทางโภชนาการ

ถั่วเขียวแก้ว-ถั่วแดงแก้ว

ถั่วเขียว 1/2 ก.ก

ถั่วแดง 1/2 ก.ก

น้ำตาลทรายไม่ฟอกสี 3 1/2 ถ้วยตวง

ผุงวุ้น 3 ช้อนโต๊ะ

น้ำสะอาด 9 ถ้วยตวง

ถาดสะอาด สี่เหลี่ยม สำหรับใส่วุ้น 2 ใบ

ไอศครีม ชาเขียว หรือรสตามชอบ

นมสดสำหรับโรยหน้า

วิธีทำ 1.ล้างถั่วเขียวให้สะอาด นำไปต้มให้เปื่อย พอน้ำขุ่นใส่น้ำตาลทรายไม่ฟอกสี 1/2 ถ้วยตวง ทิ้งไว้ให้เย็น นำไปปั่นให้ละเอียด2. ล้างถั่วแดงให้สะอาด นำไปต้มให้เปื่อย ใส่น้ำตาล 1/2 ถ้วยตวง ทิ้งไว้ให้เย็น นำไปปั่นให้ละเอียด กรองเอาเปลือกถั่วออก

3. ใส่น้ำ 9 ถ้วยตวง ลงในหม้อ ตั้งไฟ ใส่วุ้นลงคนให้ละลายตั้งไฟกลางพอเดือด ใส่น้ำตาลทราย คนให้ละลายดูน้ำเริ่มเหนือดๆ ยกลง 4.แบ่งวุ้นให้เท่ากัน 2 ถาด ถาดแรกใส่ถั่วเขียว ถาดที่2 ใส่ถั่วแดงคนให้เข้ากัน ทิ้งวุ้นให้เย็น และแข็งตัว ตัดเป็นชิ้น 4 เหลื่ยมลูกเต๋า ใส่ถ้วยไอศครีม โรยด้วยนมสด เสริฟได้ทันที เป็นอาหารว่างดับความร้อน คลายความเครียสได้ดี ค่ะ