วิถีของชาวพุทธเรานั้น เป็นวิถีของผู้รักสงบ การให้ทาน ก็เป็นวิถีอย่างหนึ่งที่ สอนให้เรารู้จักเสียสละ เอิ้อเฟื้อเผื่อแผ่รู้จักแบ่งปัน เมตตาซึ่งกันและกัน แต่ถ้าเราเป็นคนตระหนี่ถี่เหนียว ไม่มีเมตตาต่อผู้อื่น ความเสียสละก็จะเกิดกับเราไม่ได้ นี่ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำไมพุทธศาสนาถึงสอนให้เรารู้จักการให้(ทาน) เมื่อการให้เกิดขึ้น บุญกุศลก็ย่อมขึ้นตามมา ก็จะมีการอุทิศส่วนกุศลให้กับผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว เราก็จะมีการหยาดน้ำ หรือ กรวดน้ำแล้วแต่บางแห่งจะเรียกกัน จึงมีคำถามเกิดขึ้นตามมาว่า
“ถ้าเราทำบุญแล้วเราไม่ได้กรวดน้ำ เราจะบุญที่เราทำหรือไม่“ มาหาคำตอบกันดีกว่า
การกรวดน้ำ เป็นเรื่องของศาสนพิธี เป็นกุศโลบาย เพื่อให้จิตของเราไม่วอกแวก ให้จิตใจเรามีสมาธิเวลาที่จะอุทิศบุญกุศลให้กับผู้อื่น ถ้าจะถามคนส่วนใหญ่ด้วยคำถามเดียวกันนี้ โดยเฉพาะผู้สูงอายุ คำตอบที่ได้ส่วนใหญ่ก็จะเหมือนกัน คือ “ไม่ได้บุญ” แต่ความเป็นจริงได้หรือไม่
ประเพณีการกรวดน้ำนี้เป็น ของศาสนาพราหมณ์ เวลาที่ทำบุญเสร็จ ผู้ให้ก็จะนำน้ำมาเทใส่มือผู้รับ เพื่อแสดงให้เห็นว่าผลบุญนั้นได้สำเร็จแก่ผู้ให้และผู้รับอันเกิดจากทานที่เกิดขึ้นแล้ว ส่วนศาสนาพุทธของเรานั้นได้นำมาใช้เพื่อเป็นกุศโลบายข้างต้น เพราะบางคนไม่มีสมาธิจิตในการอุทิศบุญกุศล
จึงใช้น้ำมาเป็นสื่อ ใช้ดินมาเป็นพยาน หมายความว่าอย่างไร?
เวลาทำบุญเสร็จ พระก็จะขึ้น ยะถา วาริวะหาฯ เราก็เริ่มหยาดน้ำ ขณะที่หยาดน้ำเราจะอุทิศผลบุญให้ใครเราก็อุทิศไปกับสายน้ำโดยใช้น้ำเป็นสื่อ พอพระกล่าวถึงจันโท ปัณณะระโส ยะถา มะณิ โชติระโส ยะถาฯ เราก็เทน้ำให้หมด พอพระขึ้น สัพพีติโย วิวัชชันตุ ฯ เราก็พนมมือไว้ที่อกตั้งใจรับพรจนกระทั่งจบ
ถามว่า เวลาที่พระให้พรเสร็จ เราเอาน้ำที่เรากรวดนั้นไปไหน? ส่วนใหญ่จะตอบว่า “ไปรดต้นไม้”
จริง ๆ แล้วเขาให้เอาไปรดพื้นปฐพี คือ พื้นดิน เพื่ออะไร? ก็เพื่อให้พระแม่ธรณีเป็นพยานในบุญกุศลที่เราได้ทำ เวลาที่เราเอาน้ำไปรดที่พื้นดินเราก็จะต้องอธิษฐานว่า “ขอพระแม่ธรณีจงเป็นพยานในบุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้ทำในครั้งนี้” ไม่ใช่รดน้ำไปเฉย ๆ
พระเดชหลวงพ่อจรัญฯ ได้กล่าวไว้ว่า “ยะถาให้ผี สัพพีให้คน“ นั่นก็หมายความว่า เวลาที่พระให้พรนั้นมีความหมายดังนี้
ยะถา วาริวะหา ปูรา ปะริปูเรนติ สาคะรัง ห้วงน้ำที่เต็มย่อมยังสมุทรสาครให้บริบูรณ์ได้ฉันใด เอวะเมวะ อิโต ทินนัง เปตานัง อุปะกัปปะติ ทานที่ท่านอุทิศให้แล้วแต่โลกนี้ ย่อมสำเร็จประโยชน์แก่ผู้ที่ละโลกนี้ไปแล้วได้ฉันนี้ อิจฉิตัง ปัตถิตัง ตุมหัง ขิปปะเมวะ สะมิชฌะตุ ขออิฐผลที่ท่านปรารถนาแล้ว ตั้งใจแล้ว จงสำเร็จโดยฉับพลัน สัพเพ ปูเรนตุ สังกัปปา ขอความดำริทั้งปวงจงเต็มที่ จันโท ปัณณะระโสยะถา เหมือนพระจันทร์ในวันเพ็ญ มะณิ โชติระโส ยะถา เหมือนแก้วมณีอันสว่างไสวควรยินดีฯ (ยะถาคือการอุทิศให้กับผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว)
สัพพีติโย วิวัชชันตุ ความจัญไรทั้งปวงของท่านจงบำราศไป สัพพะโรโค วินัสสะตุ โรคทั้งปวงของท่านจงหาย มา เต ภะวัตวันตะราโย อันตรายทั้งปวงจงอย่ามีแก่ท่าน สุขี ทีฆายุโก ภะวะ ขอท่านจงเป็นผู้มีความสุขมีอายุยืน อะภิวาทะนะสีลิสสะ นิจจัง วุฑฒาปะจายิโน จัตตาโร ธัมมา วัฑฒันติ อายุ วัณโณ สุขัง พะลังฯ พรสี่ประการคือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ ย่อมเจริญแก่ผู้มีปกติไหว้กราบ มีปกติอ่อนน้อมถ่อมตนอยู่เป็นนิจ (สัพพีคือการให้พรกับคนที่รับพรอยู่ข้างหน้า)
ทีนี้ถ้าเกิดว่าเราไม่มีน้ำที่จะให้กรวด เราจะทำยังไง? เราก็กำหนดไปที่หน้าผาก ทำใจให้เป็นสมาธิ เป็นกุศลจิต ต้องการให้ส่วนบุญกุศลนี้แก่ใครเราก็ตั้งใจอุทิศออกไป ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จแก่ใครก็ว่าไป ไม่จำเป็นต้องมีน้ำก็ได้ เพราะความสำคัญในการอุทิศส่วนบุญกุศลอยู่ที่ ความตั้งใจ และกุศลเจตนา
ดังพุทธภาษิตที่ว่า “เจตนาหัง ภิกขะเว กัมมัง วะทามิ” แปลว่า “เจตนาเป็นตัวกรรม”
มีเรื่องเล่าให้ฟังจะขอเล่าโดยย่อ ในครั้งพุทธกาล มีพราหมณ์คนหนึ่ง ได้ทราบว่าพระพุทธองค์จะทรงเสด็จมาโปรดในเมือง พราหมณ์คนนั้นจึงตั้งใจจะไปฟังธรรมของพระพุทธเจ้า ขณะที่เขาเดินทางอยู่นั้นปรากฏว่า ถูกวัวขวิดตาย เมื่อตายไปก็ได้ไปเสวยสุขอยู่ในสวรรค์ด้วยกุศลเจตนาที่จะไปฟังธรรมกับพระพุทธองค์ ยังไม่ทำก็ยังได้บุญแล้ว… เห็นมั๊ย ไม่ทันได้กรวดน้ำด้วยซ้ำ
จึงขอฝากให้เราชาวพุทธได้รู้และเข้าใจในสิ่งที่เราทำ เราจะได้เข้าถึงเหตุและผลของบุญได้อย่างถูกต้อง เราจึงจะได้รับผลบุญจากการกระทำของเรานั้นได้อย่างเต็มที่ หวังว่าคงจะเข้าใจในเรื่องของการทำบุญกรวดน้ำไม่มากก็น้อย….สาธุ
โดยหลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน จังหวัดสิงห์บุรี
การทำบุญเพียงมีเจตนาที่จะทำบุญ ใจก็เป็นกุศลแล้ว ก็ได้บุญแล้วครับ ถ้าเกิดกังวลคราวหลังก็อย่าลืมครับ เพื่อความสบายใจ บุญเกิดที่ใจครับ
แล้วแต่ความเชื่อ และศรัทธา ว่ากันไป
ตามหลักนะคะ ทำบุญใส่บาตร ควรกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลไปให้ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว เช่นอาจจะเป็นบิดา มารดา ปู่ย่าตายายฯลฯ บุญได้กับเราด้วยแม้กรวดน้ำให้ใคร ๆ ไปแล้วก็ตาม แต่ถ้าไม่กรวดน้ำให้ใคร เขาบอกว่าเราจะได้รับเอง เมื่อตายจะได้ของที่เราทำไว้เองค่ะ ไม่มีอะไรที่ผิดหรอกค่ะแต่เจตนาดี ไม่เท่ากับการแสดงออกที่เป็นรูปธรรมนะคะ
ทำให้ถูกต้องดีที่สุดตามหลักศาสนาน่ะค่ะ
ไม่ใช่ผิด ค่ะ
จะไม่มีใครได้ส่วนบุญนั้นจนกว่าคนที่ทำบุญนั้นจะระบุว่าให้ใคร
มันก็จะลอยต่องแต่งอยู่อย่างนั้น
ไม่ผิดหรอกครับ! บุญนั้นสำเร็จได้ตั้งแต่มีจิตคิดจะให้ทานแล้ว บวกกับหากผู้ทำทานนั้น สร้างเจตนาของตนให้บริสุทธิ์ทั้ง ๓ กาล คือ ๑.ในกาลก่อนให้ ซึ่งเรียกว่า ปุพพเจตนา เจตนาก่อนให้ ๒.ในกาลที่กำลังให้ เรียกว่า มุญจนเจตนา เจตนาขณะให้ ๓.อปราปรเจตนา เจตนาต่อ ๆ ไปหลังจากให้ทานแล้ว บุญนั้นย่อมบริสุทธิ์ครบ100%
หากขณะทำบุญให้ทานแล้วนั้น ไม่ได้เจาะจงจะให้ใครเป็นพิเศษ ผลบุญนั้นย่อมสำเร็จแก่ผู้ทำบุญเองครับ ;D
ไม่ผิดครับ..
....บางครั้ง..เราอย่าไป
.....กังวล..กับเรื่องเล็กๆน้อยๆเลยครับ
......มันจะทำให้เรา..ไม่สบายใจ..ไปเปล่าๆ
........การทำบุญทำทาน..มันขึ้นอยู่ที่..เจตนาครับ
ตอนที่หนูมีความคิดว่าทำบุญด้วยใจบริสุทธ์
หนูได้กรวดน้ำให้กับทุกๆอย่างที่เกี่ยวข้องแล้ว
เพียงกรวดน้ำเป็นพิธีกรรมที่ตอกย้ำใจเราว่า
เราได้กระทำสิ่งที่ดีแล้วนะ
สบายใจได้แม่หนู
ลุงขออนุโมทนาในจิตกุศลนั้นด้วยครับ
ไม่เคยมีในบทบรรญัต../ไว้ว่าเมื่อทำบุญแล้ว ไม่ได้กรวดน้ำแล้วจะผิด..ไม่ผิดเลยครับ
ผมคิดว่าความหมายของคำถามน่าจะเป็น ถ้าไม่ได้กรวดแล้วจะสมบูรณ์แบบและได้บุญ
เต็มๆไหม แล้วใครจะเป็นผู้ได้รับ.../
ผมเคยฟังพระท่านเทศ ท่านยกตัวอย่างมาให้ฟังว่า นายมาเมื่อมีชีวิตอยู่เคยฆ่าควาย 1 ตัว
เมื่อตายไปตกนรก พยายม นำตัวไปศาลตัดสิน จึงเห็นคู่กรณีควายตัวนั้นคอยฟ้องศาลอยู่แล้ว
ผู้พิพากษาจึงถาม..../ นี่นายมาเจ้าฆ่าควายตัวนี้ ตามที่เขามาฟ้องว่าเจ้าฆ่าเขามาใช่รึปล่าว
นายมาจตอบไปว่า..../ ใช่ขอรับท่าน
ผู้พิพากษา............./ แล้วเจ้าได้เคยทำบุญให้เขาหรือไม่
นายมา................../ เคยบ่อยครับ ข้าทำบุญกรวดน้ำให้เขาประจำครับท่าน
ผู้พิพากษา............./ เจ้าจะยังไงเจ้าควายเขาบอกกรวดน้ำทำบุญให้ เจ้าได้รับหรือปล่าว
ส่วนเจ้าควาย........../ ข้ายังไม่เคยได้รับอะไรจากใครเลยท่าน
ผุ้พิพากษา............./ งั้นข้าจะให้เจ้าพิสูทษ์ถ้าเขาได้ทำกรวดน้ำเจ้าจะยอม ลดโทษให้เขาไหม
เจ้าควาย................/ ครับท่านข้าน้อยยอมขอรับ
ผู้พิพากษา............./ งั้นเจ้าตะแคงเขาสิ ถ้าใช่จะมีน้ำที่เขากรวดให้ จะไหลออกมา
เจ้าควายจึงตะแคงเขาลง.จนมีน้ำไหลออกมา สรุปว่าแทนที่นายมาจะตกนรกขุมที่ 4 ศาลลดโทษ
ครึ่งหนึ่งเหลือ ขุมที่ 2 แต่ถ้าไม่อยากลองอย่าไปฆ่าเขาเลยขอรับ เขาก็รักชีวิตเขาเราก็รักชีวิตเรา
****ที่พระท่านเปรียบเทียบก็เพราะอยากโน้มน้าวตัวเราให้ไปทำบุญ และให้เกรงกลัวต่อบาป
ส่วนการทำบุญแค่คุณคิดจะไปทำก็เป็นบุญ ตั้งแต่ก้าวลงบ้านแล้วครับ แต่การที่จะได้เต็มเม็ด
เต็มหน่วยคิดแล้วต้องทำครับ ถึงการกรวดน้ำไม่สามารถพิสูทษ์ได้ว่าจะไปไหลออกจากเขาควาย
ตัวไหน เพราะเป็นธรรมเนียมในศาสนาพุทธ ที่ฝ่ายฆารวาสพึงปฏิบัติมา แต่โปรดรู้เถิดว่า
ตัวคุณนั้นแหล่ะ จะรับบุญไปเต็มๆ แต่อยู่ที่ว่าคุณจะอธิฐานจิตแบ่งไปให้เจ้ากรรมนายเวร หรือญาติ
มิตรชิดสหาย โดยสื่อใจไปทางสายน้ำตามคำอธิฐาน แล่ะคุณจะสุขสำราญใจที่ได้กรวดน้ำไปด้วย
โดยไม่ต้องข้องใจในการทำบุญ..../ส๊าธุ..อนุโมทามิ..อ่อยๆ เมื่อยพอล่ะ
การทำบุญ จะช่วยลดต้นทุนแห่งบาป../ โปรดทราบไม่มากก็น้อย แล่ะค่อยๆสบายใจ..เด้อครับ
ไม่ผิดนิตินัย แต่อาจผิดพฤตินัยครับ การที่จะมีความผิดต้องมีกฎหมายบัญญัติไว้หรือมีคัมภีร์ใดกำหนดไว้ ผมยังไม่เห็นมีน่ะครับ แต่เป็นธรรมเนียมทีปฏิบัติกันมาทำบุญกรวดน้ำเป็นของคู่กัน ทำบุญโดยไม่หวังได้บุญเคยได้ยินไหม มีแต่ผู้ที่หลุดพ้นจึงรู้ความนัย คนเราทำบุญก้ล้วนหวังได้บุญทั้งสิ้น หวังและปรารถนาในสิ่งที่ดีมีคุณธรรมไม่ผิดอะไรบุญนั้นจะมาสู่เราเองในที่สุดแม้ไม่ได้กรวดน้ำ
Copyright © 2024 1QUIZZ.COM - All rights reserved.
Answers & Comments
Verified answer
วิถีของชาวพุทธเรานั้น เป็นวิถีของผู้รักสงบ การให้ทาน ก็เป็นวิถีอย่างหนึ่งที่ สอนให้เรารู้จักเสียสละ เอิ้อเฟื้อเผื่อแผ่รู้จักแบ่งปัน เมตตาซึ่งกันและกัน แต่ถ้าเราเป็นคนตระหนี่ถี่เหนียว ไม่มีเมตตาต่อผู้อื่น ความเสียสละก็จะเกิดกับเราไม่ได้ นี่ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำไมพุทธศาสนาถึงสอนให้เรารู้จักการให้(ทาน) เมื่อการให้เกิดขึ้น บุญกุศลก็ย่อมขึ้นตามมา ก็จะมีการอุทิศส่วนกุศลให้กับผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว เราก็จะมีการหยาดน้ำ หรือ กรวดน้ำแล้วแต่บางแห่งจะเรียกกัน จึงมีคำถามเกิดขึ้นตามมาว่า
“ถ้าเราทำบุญแล้วเราไม่ได้กรวดน้ำ เราจะบุญที่เราทำหรือไม่“ มาหาคำตอบกันดีกว่า
การกรวดน้ำ เป็นเรื่องของศาสนพิธี เป็นกุศโลบาย เพื่อให้จิตของเราไม่วอกแวก ให้จิตใจเรามีสมาธิเวลาที่จะอุทิศบุญกุศลให้กับผู้อื่น ถ้าจะถามคนส่วนใหญ่ด้วยคำถามเดียวกันนี้ โดยเฉพาะผู้สูงอายุ คำตอบที่ได้ส่วนใหญ่ก็จะเหมือนกัน คือ “ไม่ได้บุญ” แต่ความเป็นจริงได้หรือไม่
ประเพณีการกรวดน้ำนี้เป็น ของศาสนาพราหมณ์ เวลาที่ทำบุญเสร็จ ผู้ให้ก็จะนำน้ำมาเทใส่มือผู้รับ เพื่อแสดงให้เห็นว่าผลบุญนั้นได้สำเร็จแก่ผู้ให้และผู้รับอันเกิดจากทานที่เกิดขึ้นแล้ว ส่วนศาสนาพุทธของเรานั้นได้นำมาใช้เพื่อเป็นกุศโลบายข้างต้น เพราะบางคนไม่มีสมาธิจิตในการอุทิศบุญกุศล
จึงใช้น้ำมาเป็นสื่อ ใช้ดินมาเป็นพยาน หมายความว่าอย่างไร?
เวลาทำบุญเสร็จ พระก็จะขึ้น ยะถา วาริวะหาฯ เราก็เริ่มหยาดน้ำ ขณะที่หยาดน้ำเราจะอุทิศผลบุญให้ใครเราก็อุทิศไปกับสายน้ำโดยใช้น้ำเป็นสื่อ พอพระกล่าวถึงจันโท ปัณณะระโส ยะถา มะณิ โชติระโส ยะถาฯ เราก็เทน้ำให้หมด พอพระขึ้น สัพพีติโย วิวัชชันตุ ฯ เราก็พนมมือไว้ที่อกตั้งใจรับพรจนกระทั่งจบ
ถามว่า เวลาที่พระให้พรเสร็จ เราเอาน้ำที่เรากรวดนั้นไปไหน? ส่วนใหญ่จะตอบว่า “ไปรดต้นไม้”
จริง ๆ แล้วเขาให้เอาไปรดพื้นปฐพี คือ พื้นดิน เพื่ออะไร? ก็เพื่อให้พระแม่ธรณีเป็นพยานในบุญกุศลที่เราได้ทำ เวลาที่เราเอาน้ำไปรดที่พื้นดินเราก็จะต้องอธิษฐานว่า “ขอพระแม่ธรณีจงเป็นพยานในบุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้ทำในครั้งนี้” ไม่ใช่รดน้ำไปเฉย ๆ
พระเดชหลวงพ่อจรัญฯ ได้กล่าวไว้ว่า “ยะถาให้ผี สัพพีให้คน“ นั่นก็หมายความว่า เวลาที่พระให้พรนั้นมีความหมายดังนี้
ยะถา วาริวะหา ปูรา ปะริปูเรนติ สาคะรัง ห้วงน้ำที่เต็มย่อมยังสมุทรสาครให้บริบูรณ์ได้ฉันใด เอวะเมวะ อิโต ทินนัง เปตานัง อุปะกัปปะติ ทานที่ท่านอุทิศให้แล้วแต่โลกนี้ ย่อมสำเร็จประโยชน์แก่ผู้ที่ละโลกนี้ไปแล้วได้ฉันนี้ อิจฉิตัง ปัตถิตัง ตุมหัง ขิปปะเมวะ สะมิชฌะตุ ขออิฐผลที่ท่านปรารถนาแล้ว ตั้งใจแล้ว จงสำเร็จโดยฉับพลัน สัพเพ ปูเรนตุ สังกัปปา ขอความดำริทั้งปวงจงเต็มที่ จันโท ปัณณะระโสยะถา เหมือนพระจันทร์ในวันเพ็ญ มะณิ โชติระโส ยะถา เหมือนแก้วมณีอันสว่างไสวควรยินดีฯ (ยะถาคือการอุทิศให้กับผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว)
สัพพีติโย วิวัชชันตุ ความจัญไรทั้งปวงของท่านจงบำราศไป สัพพะโรโค วินัสสะตุ โรคทั้งปวงของท่านจงหาย มา เต ภะวัตวันตะราโย อันตรายทั้งปวงจงอย่ามีแก่ท่าน สุขี ทีฆายุโก ภะวะ ขอท่านจงเป็นผู้มีความสุขมีอายุยืน อะภิวาทะนะสีลิสสะ นิจจัง วุฑฒาปะจายิโน จัตตาโร ธัมมา วัฑฒันติ อายุ วัณโณ สุขัง พะลังฯ พรสี่ประการคือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ ย่อมเจริญแก่ผู้มีปกติไหว้กราบ มีปกติอ่อนน้อมถ่อมตนอยู่เป็นนิจ (สัพพีคือการให้พรกับคนที่รับพรอยู่ข้างหน้า)
ทีนี้ถ้าเกิดว่าเราไม่มีน้ำที่จะให้กรวด เราจะทำยังไง? เราก็กำหนดไปที่หน้าผาก ทำใจให้เป็นสมาธิ เป็นกุศลจิต ต้องการให้ส่วนบุญกุศลนี้แก่ใครเราก็ตั้งใจอุทิศออกไป ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จแก่ใครก็ว่าไป ไม่จำเป็นต้องมีน้ำก็ได้ เพราะความสำคัญในการอุทิศส่วนบุญกุศลอยู่ที่ ความตั้งใจ และกุศลเจตนา
ดังพุทธภาษิตที่ว่า “เจตนาหัง ภิกขะเว กัมมัง วะทามิ” แปลว่า “เจตนาเป็นตัวกรรม”
มีเรื่องเล่าให้ฟังจะขอเล่าโดยย่อ ในครั้งพุทธกาล มีพราหมณ์คนหนึ่ง ได้ทราบว่าพระพุทธองค์จะทรงเสด็จมาโปรดในเมือง พราหมณ์คนนั้นจึงตั้งใจจะไปฟังธรรมของพระพุทธเจ้า ขณะที่เขาเดินทางอยู่นั้นปรากฏว่า ถูกวัวขวิดตาย เมื่อตายไปก็ได้ไปเสวยสุขอยู่ในสวรรค์ด้วยกุศลเจตนาที่จะไปฟังธรรมกับพระพุทธองค์ ยังไม่ทำก็ยังได้บุญแล้ว… เห็นมั๊ย ไม่ทันได้กรวดน้ำด้วยซ้ำ
จึงขอฝากให้เราชาวพุทธได้รู้และเข้าใจในสิ่งที่เราทำ เราจะได้เข้าถึงเหตุและผลของบุญได้อย่างถูกต้อง เราจึงจะได้รับผลบุญจากการกระทำของเรานั้นได้อย่างเต็มที่ หวังว่าคงจะเข้าใจในเรื่องของการทำบุญกรวดน้ำไม่มากก็น้อย….สาธุ
โดยหลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน จังหวัดสิงห์บุรี
การทำบุญเพียงมีเจตนาที่จะทำบุญ ใจก็เป็นกุศลแล้ว ก็ได้บุญแล้วครับ ถ้าเกิดกังวลคราวหลังก็อย่าลืมครับ เพื่อความสบายใจ บุญเกิดที่ใจครับ
แล้วแต่ความเชื่อ และศรัทธา ว่ากันไป
ตามหลักนะคะ ทำบุญใส่บาตร ควรกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลไปให้ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว เช่นอาจจะเป็นบิดา มารดา ปู่ย่าตายายฯลฯ บุญได้กับเราด้วยแม้กรวดน้ำให้ใคร ๆ ไปแล้วก็ตาม แต่ถ้าไม่กรวดน้ำให้ใคร เขาบอกว่าเราจะได้รับเอง เมื่อตายจะได้ของที่เราทำไว้เองค่ะ ไม่มีอะไรที่ผิดหรอกค่ะแต่เจตนาดี ไม่เท่ากับการแสดงออกที่เป็นรูปธรรมนะคะ
ทำให้ถูกต้องดีที่สุดตามหลักศาสนาน่ะค่ะ
ไม่ใช่ผิด ค่ะ
จะไม่มีใครได้ส่วนบุญนั้นจนกว่าคนที่ทำบุญนั้นจะระบุว่าให้ใคร
มันก็จะลอยต่องแต่งอยู่อย่างนั้น
ไม่ผิดหรอกครับ! บุญนั้นสำเร็จได้ตั้งแต่มีจิตคิดจะให้ทานแล้ว บวกกับหากผู้ทำทานนั้น สร้างเจตนาของตนให้บริสุทธิ์ทั้ง ๓ กาล คือ ๑.ในกาลก่อนให้ ซึ่งเรียกว่า ปุพพเจตนา เจตนาก่อนให้ ๒.ในกาลที่กำลังให้ เรียกว่า มุญจนเจตนา เจตนาขณะให้ ๓.อปราปรเจตนา เจตนาต่อ ๆ ไปหลังจากให้ทานแล้ว บุญนั้นย่อมบริสุทธิ์ครบ100%
หากขณะทำบุญให้ทานแล้วนั้น ไม่ได้เจาะจงจะให้ใครเป็นพิเศษ ผลบุญนั้นย่อมสำเร็จแก่ผู้ทำบุญเองครับ ;D
ไม่ผิดครับ..
....บางครั้ง..เราอย่าไป
.....กังวล..กับเรื่องเล็กๆน้อยๆเลยครับ
......มันจะทำให้เรา..ไม่สบายใจ..ไปเปล่าๆ
........การทำบุญทำทาน..มันขึ้นอยู่ที่..เจตนาครับ
ตอนที่หนูมีความคิดว่าทำบุญด้วยใจบริสุทธ์
หนูได้กรวดน้ำให้กับทุกๆอย่างที่เกี่ยวข้องแล้ว
เพียงกรวดน้ำเป็นพิธีกรรมที่ตอกย้ำใจเราว่า
เราได้กระทำสิ่งที่ดีแล้วนะ
สบายใจได้แม่หนู
ลุงขออนุโมทนาในจิตกุศลนั้นด้วยครับ
ไม่เคยมีในบทบรรญัต../ไว้ว่าเมื่อทำบุญแล้ว ไม่ได้กรวดน้ำแล้วจะผิด..ไม่ผิดเลยครับ
ผมคิดว่าความหมายของคำถามน่าจะเป็น ถ้าไม่ได้กรวดแล้วจะสมบูรณ์แบบและได้บุญ
เต็มๆไหม แล้วใครจะเป็นผู้ได้รับ.../
ผมเคยฟังพระท่านเทศ ท่านยกตัวอย่างมาให้ฟังว่า นายมาเมื่อมีชีวิตอยู่เคยฆ่าควาย 1 ตัว
เมื่อตายไปตกนรก พยายม นำตัวไปศาลตัดสิน จึงเห็นคู่กรณีควายตัวนั้นคอยฟ้องศาลอยู่แล้ว
ผู้พิพากษาจึงถาม..../ นี่นายมาเจ้าฆ่าควายตัวนี้ ตามที่เขามาฟ้องว่าเจ้าฆ่าเขามาใช่รึปล่าว
นายมาจตอบไปว่า..../ ใช่ขอรับท่าน
ผู้พิพากษา............./ แล้วเจ้าได้เคยทำบุญให้เขาหรือไม่
นายมา................../ เคยบ่อยครับ ข้าทำบุญกรวดน้ำให้เขาประจำครับท่าน
ผู้พิพากษา............./ เจ้าจะยังไงเจ้าควายเขาบอกกรวดน้ำทำบุญให้ เจ้าได้รับหรือปล่าว
ส่วนเจ้าควาย........../ ข้ายังไม่เคยได้รับอะไรจากใครเลยท่าน
ผุ้พิพากษา............./ งั้นข้าจะให้เจ้าพิสูทษ์ถ้าเขาได้ทำกรวดน้ำเจ้าจะยอม ลดโทษให้เขาไหม
เจ้าควาย................/ ครับท่านข้าน้อยยอมขอรับ
ผู้พิพากษา............./ งั้นเจ้าตะแคงเขาสิ ถ้าใช่จะมีน้ำที่เขากรวดให้ จะไหลออกมา
เจ้าควายจึงตะแคงเขาลง.จนมีน้ำไหลออกมา สรุปว่าแทนที่นายมาจะตกนรกขุมที่ 4 ศาลลดโทษ
ครึ่งหนึ่งเหลือ ขุมที่ 2 แต่ถ้าไม่อยากลองอย่าไปฆ่าเขาเลยขอรับ เขาก็รักชีวิตเขาเราก็รักชีวิตเรา
****ที่พระท่านเปรียบเทียบก็เพราะอยากโน้มน้าวตัวเราให้ไปทำบุญ และให้เกรงกลัวต่อบาป
ส่วนการทำบุญแค่คุณคิดจะไปทำก็เป็นบุญ ตั้งแต่ก้าวลงบ้านแล้วครับ แต่การที่จะได้เต็มเม็ด
เต็มหน่วยคิดแล้วต้องทำครับ ถึงการกรวดน้ำไม่สามารถพิสูทษ์ได้ว่าจะไปไหลออกจากเขาควาย
ตัวไหน เพราะเป็นธรรมเนียมในศาสนาพุทธ ที่ฝ่ายฆารวาสพึงปฏิบัติมา แต่โปรดรู้เถิดว่า
ตัวคุณนั้นแหล่ะ จะรับบุญไปเต็มๆ แต่อยู่ที่ว่าคุณจะอธิฐานจิตแบ่งไปให้เจ้ากรรมนายเวร หรือญาติ
มิตรชิดสหาย โดยสื่อใจไปทางสายน้ำตามคำอธิฐาน แล่ะคุณจะสุขสำราญใจที่ได้กรวดน้ำไปด้วย
โดยไม่ต้องข้องใจในการทำบุญ..../ส๊าธุ..อนุโมทามิ..อ่อยๆ เมื่อยพอล่ะ
การทำบุญ จะช่วยลดต้นทุนแห่งบาป../ โปรดทราบไม่มากก็น้อย แล่ะค่อยๆสบายใจ..เด้อครับ
ไม่ผิดนิตินัย แต่อาจผิดพฤตินัยครับ การที่จะมีความผิดต้องมีกฎหมายบัญญัติไว้หรือมีคัมภีร์ใดกำหนดไว้ ผมยังไม่เห็นมีน่ะครับ แต่เป็นธรรมเนียมทีปฏิบัติกันมาทำบุญกรวดน้ำเป็นของคู่กัน ทำบุญโดยไม่หวังได้บุญเคยได้ยินไหม มีแต่ผู้ที่หลุดพ้นจึงรู้ความนัย คนเราทำบุญก้ล้วนหวังได้บุญทั้งสิ้น หวังและปรารถนาในสิ่งที่ดีมีคุณธรรมไม่ผิดอะไรบุญนั้นจะมาสู่เราเองในที่สุดแม้ไม่ได้กรวดน้ำ