สมมุติ เป็นคำที่คู่กับวิมุติ
ปัจจุบันนี้ เราอยู่กับโลกสมมุติ คำว่าโลกสมมุตินี้มีอยู่ 3 ภพ
คือ กามภพ รูปภพ และ อรูปภพ
กามภพ คือโลกมนุษย์ที่มีทั้งสัตว์เดรัจฉานรวมอยู่ทั้งหมด
ที่เราเห็นกันอยู่ทุกวันนี้
รูปภพ ก็ได้แก่นรกสวรรค์ ที่ยังมองเห็นกันอยู่
อรูปภพ ได้แก่ชั้นพรหมที่ไม่มีรูปกาย แต่ยังได้ยินเสียงกันอยู่
ทั้งสามภพนี้ เรียกว่าโลกสมมุติ คือความไม่แน่นอน มีการเปลี่ยน
แปลง การเกิด การตาย วนเวียนอยู่ อย่างไม่สิ้นสุด เกิดไปอยู่
ภพไหน ก็หลงใหลในภพนั้น เกิดเป็นเทวดา ก็หลงใหลอยู่ใน
ความสุข อยู่ไม่นาน หมดบุญตรงนั้น ก็ต้องลงมาเกิดเป็นคน
หรือสัตว์เดรัจฉานอีก เกิดเป็นหนอน ก็ยังหลงใหลในความสุข
ที่ตนเองเป็นหนอน คือไม่ต้องมีทุกข์อะไร มีอาหารการกิน
อุดมสมบูรณ์ อยู่ไปวันๆ หมดอายุขัยตรงนั้นก็เวียนไปเกิดเป็น
อย่างอื่นอีก ไปอยู่ในภูมิผี ก็หลงใหลในความเป็นอยู่ ห่วงใน
สมบัติของตนเองในภูมิผีเช่นเดียวกับมนุษย์ ที่หลงใหลในทุก
อย่างว่าเป็นของตน จนแก่งแย่งชิงกันถึงขั้นฆ่ากันเพื่อหวังใน
สมบัติอันเป็นของกลางในโลกสมมุติ เปลี่ยนภพไปแล้ว ก็ไม่
สามารถเอาไปได้ ก็ไปหลงใหลในสมบัติของภูมินั้นๆอีก
จนกว่าท่านจะปฏิบัติจิตภาวนาหลุดพ้นจากแดนสมมุติเมื่อไร
ก็เรียกว่าจิตวิมุติ ไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดในแดนสมมุติ
นี้อีก เข้าสู่แดนอรหันต์ นั่นคือพ้นจากโลกสมมุติ
.
ว่ากันไปซั่น ถ้าหากถือว่า โลกซื่งรูปธรรมที่จับต้องมองเห็นได้ เป็นสิ่งสมมุติ นับประสาอะไรที่ สวรรค์และนรกเที่เป็นสิ่งที่ยังมองไม่เห็น จะไม่เป็นสิ่งสมมุติด้วย ยิ่งกว่านั้น ถ้าตัวเราก็เป็นสิ่งสมมุติ ทุกอย่างในชีวิตเราก็เป็นสิ่งสมมุติไปหมดทั้งสิ้น เรามานั่งเคาะแป้นพิมพ์ก๊อกๆแก็กๆ ในรู้รอบไปหาสวรรค์วิมานอะไร? และมีความหมายอะไร? ขอประทานอภัยโทษ ผมเองก็ยังค่อยไม่กระจ่างเท่าไหร่เหมือนกัน ครับผม
มันเป็นอนันตกาลน่ะค่ะ เคยสัยแต่ตอนนี้ไม่หละอยากสนุกไปวันๆมากกว่า
ในการ " ตอบคำถาม " นี้
ไม่ได้เป็นการ " ลบหลู่ "
ใน " คำสั่งสอน " ของศาสนาน่ะค่ะ
เพราะ...............
ในความคิดเห็นส่วนตัว
" สวรรค์ และ นรก "
เป็น.................
สิ่งที่ " สมมุติ " ขึ้นมา
เพื่อ............
เป็น " เงื่อนไข "
ให้ทุกคน.........ทำความดี ค่ะ
คำว่าโลกเป็นสิ่งสมมุติ นั้นเป็นเพียงการเปรียบเทียบเพื่อผลของการสอน เพราะอะไรบางอย่างนั้นมีอยู่จริง แต่ไม่สามารถอธิบายว่าสิ่งนั้นเป็นเช่นไร
ดั่งคำบางตำเช่น อะตอม ถ้าเมื่อ 1000 ปีก่อนก็ยังไม่รู้ว่าจะอธิบาย คำๆนี้หมายถึงอะไร แต่ตอนนี้เป็นที่รู้กันเป็นส่วนใหญ่แล้วว่าหมายถึงอะไร
ฉนั้น คำว่าโลก เป็นสมมุติ สวรรค์ นรก ก็ด้วย ทั้งหมดเป็นคำเปรียบเทียบเพื่อที่จะให้เข้าใจไปสู่อะไรบางอย่าง ที่ที่ยังไม่มีคำที่เหมาะสมมาใช้ได้
โลกไม่เคยเป็นเรื่องสมมุติ ครับ
และนรกสวรรค์ ก็มิใช่สิ่งสมมุติ แต่เป็นมิติ ครับ
"ศาสดาทั้งหลายไม่เคย ไปหานรกสวรรค์ นอกโลก มาสอน มนุษย์เลยครับ"
ล้วนเอาเรื่องโลก นี่แหละครับ มาสอน ดังนั้น ด้านหนึ่งจึงไม่อาจเหมือนด้านหนึ่ง
"ปริญญาเอกในท้องทะเลทราย ใช้ไม่ได้ ในอนุบาลท้องทะเลน้ำ"
โลกมนุษย์ทราอยู่ไม่เป็นเรื่องสมมุตินะ นี่คือ โลกแห่งความจริง ส่วนสวรรค์ กับนรกจะเป็นรึไม่ต้องพิจารณาเอง
นรกไม่สมมติค่ะ... แค่ทำไรผิด หรือ ถูกเปิดเผยความลับ
ใจเราก็ไม่สุข ...ผุดลุผุดนั่งแล้วค่ะ
ส่วนมากเรา ใช้ต่าง กรรม ต่างวาระ คำว่าสมมุติ ในความหมาย ของ พุทธะ โลกคือหมู่สัตว์ คือหมู่สัตว์ ที่ข้องอยู่ในกาม กิน เกียรติ ดีใจ เสียใจ เกิดมาเรียนหนังสือเรียนจบ ทำงาน แต่งงาน เสพกาม มีลูกมีบ้านเลี้ยงลูก แก่ตัวเจ็บป่วย ตายไป ที่เกิดใหม่ขึ้นมาก็เกิด ที่ตายก็ตายไป มันวนของมันอยู่แบบโลกๆ ความหมายมันตรงนี้ครับ ไม่ใช่โลกที่เราเดินเหยียบมันอยู่ทุกวัน บางครั้งคนพุทธเองก็สับสน กับเรื่องธรรมมะ ที่สอนกัน ธรรม มีสองชนิด โลกีย์ธรรม กับโลกุตระธรรม
โลกไม่ได้เป็นสิ่งสมมติเพียงแต่ไม่มีอะไรที่จีรังยั่งยืน ทุกสิ่งที่เป็นของเราวันนี้สามารถที่จะเป็นของคนอื่นได้ภายในชาตินี้หรือชาติหน้า สวรรค์ก็ไม่มีความจีรังยั่งยืนแต่มีระยะเวลาที่นานกว่า ในพระไตรปิฎกบอกว่า1ปีสวรรค์เท่ากับ100ปีมนุษย์ คนที่ถือศีล5ได้ก็จะได้เกิดเป็นมนุษย์ คนที่ถือศีล8ได้และปฏิบัติธรรมจนละความโลภได้คือมีทรัพย์สินเพียงพอกับการดำรงชีพ ส่วนเกินก็จะช่วยเหลือคนจนหมด ก็จะได้ไปเกิดในสวรรค์ ส่วนคนที่ถือศีลได้ไม่ครบ5ข้อก็ไปเกิดเป็นสัตว์ คนที่ถือศีลไม่ได้สักข้อก็ต้องไปชดใช้ความชั่วในนรก
Copyright © 2024 1QUIZZ.COM - All rights reserved.
Answers & Comments
Verified answer
สมมุติ เป็นคำที่คู่กับวิมุติ
ปัจจุบันนี้ เราอยู่กับโลกสมมุติ คำว่าโลกสมมุตินี้มีอยู่ 3 ภพ
คือ กามภพ รูปภพ และ อรูปภพ
กามภพ คือโลกมนุษย์ที่มีทั้งสัตว์เดรัจฉานรวมอยู่ทั้งหมด
ที่เราเห็นกันอยู่ทุกวันนี้
รูปภพ ก็ได้แก่นรกสวรรค์ ที่ยังมองเห็นกันอยู่
อรูปภพ ได้แก่ชั้นพรหมที่ไม่มีรูปกาย แต่ยังได้ยินเสียงกันอยู่
ทั้งสามภพนี้ เรียกว่าโลกสมมุติ คือความไม่แน่นอน มีการเปลี่ยน
แปลง การเกิด การตาย วนเวียนอยู่ อย่างไม่สิ้นสุด เกิดไปอยู่
ภพไหน ก็หลงใหลในภพนั้น เกิดเป็นเทวดา ก็หลงใหลอยู่ใน
ความสุข อยู่ไม่นาน หมดบุญตรงนั้น ก็ต้องลงมาเกิดเป็นคน
หรือสัตว์เดรัจฉานอีก เกิดเป็นหนอน ก็ยังหลงใหลในความสุข
ที่ตนเองเป็นหนอน คือไม่ต้องมีทุกข์อะไร มีอาหารการกิน
อุดมสมบูรณ์ อยู่ไปวันๆ หมดอายุขัยตรงนั้นก็เวียนไปเกิดเป็น
อย่างอื่นอีก ไปอยู่ในภูมิผี ก็หลงใหลในความเป็นอยู่ ห่วงใน
สมบัติของตนเองในภูมิผีเช่นเดียวกับมนุษย์ ที่หลงใหลในทุก
อย่างว่าเป็นของตน จนแก่งแย่งชิงกันถึงขั้นฆ่ากันเพื่อหวังใน
สมบัติอันเป็นของกลางในโลกสมมุติ เปลี่ยนภพไปแล้ว ก็ไม่
สามารถเอาไปได้ ก็ไปหลงใหลในสมบัติของภูมินั้นๆอีก
จนกว่าท่านจะปฏิบัติจิตภาวนาหลุดพ้นจากแดนสมมุติเมื่อไร
ก็เรียกว่าจิตวิมุติ ไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดในแดนสมมุติ
นี้อีก เข้าสู่แดนอรหันต์ นั่นคือพ้นจากโลกสมมุติ
.
ว่ากันไปซั่น ถ้าหากถือว่า โลกซื่งรูปธรรมที่จับต้องมองเห็นได้ เป็นสิ่งสมมุติ นับประสาอะไรที่ สวรรค์และนรกเที่เป็นสิ่งที่ยังมองไม่เห็น จะไม่เป็นสิ่งสมมุติด้วย ยิ่งกว่านั้น ถ้าตัวเราก็เป็นสิ่งสมมุติ ทุกอย่างในชีวิตเราก็เป็นสิ่งสมมุติไปหมดทั้งสิ้น เรามานั่งเคาะแป้นพิมพ์ก๊อกๆแก็กๆ ในรู้รอบไปหาสวรรค์วิมานอะไร? และมีความหมายอะไร? ขอประทานอภัยโทษ ผมเองก็ยังค่อยไม่กระจ่างเท่าไหร่เหมือนกัน ครับผม
มันเป็นอนันตกาลน่ะค่ะ เคยสัยแต่ตอนนี้ไม่หละอยากสนุกไปวันๆมากกว่า
ในการ " ตอบคำถาม " นี้
ไม่ได้เป็นการ " ลบหลู่ "
ใน " คำสั่งสอน " ของศาสนาน่ะค่ะ
เพราะ...............
ในความคิดเห็นส่วนตัว
" สวรรค์ และ นรก "
เป็น.................
สิ่งที่ " สมมุติ " ขึ้นมา
เพื่อ............
เป็น " เงื่อนไข "
ให้ทุกคน.........ทำความดี ค่ะ
คำว่าโลกเป็นสิ่งสมมุติ นั้นเป็นเพียงการเปรียบเทียบเพื่อผลของการสอน เพราะอะไรบางอย่างนั้นมีอยู่จริง แต่ไม่สามารถอธิบายว่าสิ่งนั้นเป็นเช่นไร
ดั่งคำบางตำเช่น อะตอม ถ้าเมื่อ 1000 ปีก่อนก็ยังไม่รู้ว่าจะอธิบาย คำๆนี้หมายถึงอะไร แต่ตอนนี้เป็นที่รู้กันเป็นส่วนใหญ่แล้วว่าหมายถึงอะไร
ฉนั้น คำว่าโลก เป็นสมมุติ สวรรค์ นรก ก็ด้วย ทั้งหมดเป็นคำเปรียบเทียบเพื่อที่จะให้เข้าใจไปสู่อะไรบางอย่าง ที่ที่ยังไม่มีคำที่เหมาะสมมาใช้ได้
โลกไม่เคยเป็นเรื่องสมมุติ ครับ
และนรกสวรรค์ ก็มิใช่สิ่งสมมุติ แต่เป็นมิติ ครับ
"ศาสดาทั้งหลายไม่เคย ไปหานรกสวรรค์ นอกโลก มาสอน มนุษย์เลยครับ"
ล้วนเอาเรื่องโลก นี่แหละครับ มาสอน ดังนั้น ด้านหนึ่งจึงไม่อาจเหมือนด้านหนึ่ง
"ปริญญาเอกในท้องทะเลทราย ใช้ไม่ได้ ในอนุบาลท้องทะเลน้ำ"
โลกมนุษย์ทราอยู่ไม่เป็นเรื่องสมมุตินะ นี่คือ โลกแห่งความจริง ส่วนสวรรค์ กับนรกจะเป็นรึไม่ต้องพิจารณาเอง
นรกไม่สมมติค่ะ... แค่ทำไรผิด หรือ ถูกเปิดเผยความลับ
ใจเราก็ไม่สุข ...ผุดลุผุดนั่งแล้วค่ะ
ส่วนมากเรา ใช้ต่าง กรรม ต่างวาระ คำว่าสมมุติ ในความหมาย ของ พุทธะ โลกคือหมู่สัตว์ คือหมู่สัตว์ ที่ข้องอยู่ในกาม กิน เกียรติ ดีใจ เสียใจ เกิดมาเรียนหนังสือเรียนจบ ทำงาน แต่งงาน เสพกาม มีลูกมีบ้านเลี้ยงลูก แก่ตัวเจ็บป่วย ตายไป ที่เกิดใหม่ขึ้นมาก็เกิด ที่ตายก็ตายไป มันวนของมันอยู่แบบโลกๆ ความหมายมันตรงนี้ครับ ไม่ใช่โลกที่เราเดินเหยียบมันอยู่ทุกวัน บางครั้งคนพุทธเองก็สับสน กับเรื่องธรรมมะ ที่สอนกัน ธรรม มีสองชนิด โลกีย์ธรรม กับโลกุตระธรรม
โลกไม่ได้เป็นสิ่งสมมติเพียงแต่ไม่มีอะไรที่จีรังยั่งยืน ทุกสิ่งที่เป็นของเราวันนี้สามารถที่จะเป็นของคนอื่นได้ภายในชาตินี้หรือชาติหน้า สวรรค์ก็ไม่มีความจีรังยั่งยืนแต่มีระยะเวลาที่นานกว่า ในพระไตรปิฎกบอกว่า1ปีสวรรค์เท่ากับ100ปีมนุษย์ คนที่ถือศีล5ได้ก็จะได้เกิดเป็นมนุษย์ คนที่ถือศีล8ได้และปฏิบัติธรรมจนละความโลภได้คือมีทรัพย์สินเพียงพอกับการดำรงชีพ ส่วนเกินก็จะช่วยเหลือคนจนหมด ก็จะได้ไปเกิดในสวรรค์ ส่วนคนที่ถือศีลได้ไม่ครบ5ข้อก็ไปเกิดเป็นสัตว์ คนที่ถือศีลไม่ได้สักข้อก็ต้องไปชดใช้ความชั่วในนรก